รายละเอียดทางเทคนิค พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
รายละเอียดทางเทคนิค พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
การใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring) ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงกว้าง ทั้งการก่อสร้างและการตกแต่งภายใน โดยไม้เอ็นจิเนียร์เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นจากการผสมผสานของไม้จริงและวัสดุอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยทั่วไปแล้ว จะมีข้อได้เปรียบกว่าไม้ทั่วไปทั้งในด้านความแข็งแรงและความคงทนต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อม
โดยต่อไปนี้คือรายละเอียดทางเทคนิคของไม้เอ็นจิเนียร์
ไม้เอ็นจิเนียร์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะมีส่วนประกอบหลัก ๆ อยู่ 3 ชั้น ได้แก่
ชั้นผิวหน้าไม้จริง ทาง Arrow Wood ได้นำเข้าไม้หลากหลายชนิดเพื่อนำมาแปรรูปเป็นไม้เอ็นจิเนียร์ ไม่ว่าจะเป็น ไม้โอ๊ค ไม้แอช ไม้บีช ไม้เมเปิ้ล และไม้ชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย
ไม้ชั้นกลาง ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกและป้องกันการบิดงอของพื้นไม้
ไม้ชั้นล่างสุด ที่นำมาประกบกับหลังพื้นไม้ เป็นชั้นสุดท้ายเพื่อให้เกิดความสมดุลและสร้างความแข็งแรงให้กับไม้เอ็นจิเนียร์
คุณสมบัติเด่น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
ของ Arrow Wood
ใช้ไม้จริงร่วมกับไม้อัด
ไม้อัดจะติดด้วยกาวที่ทนน้ำ
ไม้อัดมีหลายชั้น
รับประกันไม้ไม่บิด หรืองอ
ป้องกันปลวก
ผลิตโดยวิศวกรชาวดัตซ์
ผลิตภัณฑ์มีความกว้างถึง 29 เซนติเมตร
ผลิตภัณฑ์มีความหนา 14 มิลลิเมตร และ 19 มิลลิเมตร
มีการส่งออกในแถบยุโรปมากที่สุด
มีความยาวสูงสุด 1600 – 2400 มิลลิเมตร
ตัดแบบลิเนีย ไม่ใช้การตัดแบบโรตารี่
ลักษณะพื้นไม้
เกรด BC
ลักษณะพื้นไม้
เกรด A
ลักษณะพื้นไม้
เกรด AB
ลักษณะพื้นไม้
เกรด A MAX
การเลือกและแบ่งเกรดไม้
ไม้แต่ละชนิดจะมีเกรดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไม้ โดยทั่วไปแล้ว ไม้จะมีเกรดอยู่ 4 ระดับ ได้แก่
- เกรด BC : เกรดต่ำสุด ไม้จะมีตำหนิต่างๆ มากมาย เช่น ตาไม้ขนาดใหญ่ กระพี้มาก รอยแตก รอยไส เป็นต้น ไม้เกรดนี้มักนำไปใช้ในงานก่อสร้าง เช่น โครงบ้าน เสา คาน เป็นต้น
- เกรด AB : เกรดกลาง ไม้จะมีตำหนิน้อยกว่าเกรด BC แต่ยังคงมีตำหนิอยู่บ้าง เช่น ตาไม้ขนาดกลาง กระพี้ไม่เกิน 30% รอยแตก รอยไส เป็นต้น ไม้เกรดนี้มักนำไปใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เป็นต้น
- เกรด A : เกรดสูง ไม้จะมีตำหนิน้อยมาก เช่น ตาไม้ขนาดเล็ก กระพี้ไม่เกิน 15% ไม้เกรดนี้มักนำไปใช้ในงานตกแต่ง เช่น ประตู หน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
- เกรด A max : เกรดสูงสุด ไม้จะมีตำหนิน้อยที่สุด เช่น ตาไม้ไม่เกิน 5 มม. กระพี้ไม่เกิน 5% ไม้เกรดนี้มักนำไปใช้ในงานที่มีความสวยงามเป็นพิเศษ เช่น งานแกะสลัก เฟอร์นิเจอร์โบราณ เป็นต้น
การเลือกไม้ตามสี
นอกจากการแบ่งเกรดตามคุณภาพแล้ว ไม้ยังสามารถแบ่งเกรดตามสีได้อีกด้วย โดยไม้แต่ละชนิดจะมีสีที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ไม้สักจะมีสีน้ำตาลเข้ม ไม้แอช ไม้เมเปิ้ล จะมีสีขาว เป็นต้น
การเลือกไม้ตามกระพี้
กระพี้คือส่วนที่อยู่ด้านในสุดของไม้ มีลักษณะอ่อนและเปราะกว่าเนื้อไม้ ดังนั้น ไม้ที่มีกระพี้มากจะมีความแข็งแรงน้อยกว่าไม้ที่ไม่มีกระพี้ โดยทั่วไปแล้ว ไม้ที่มีกระพี้ไม่เกิน 5% ถือว่ามีคุณภาพดี
คุณลักษณะที่ดีของไม้
1. ตาไม้
ตาไม้ คือ ส่วนที่เป็นรอยแผลของไม้ที่เกิดจากการเจริญเติบโตของกิ่งก้าน ตาไม้มีขนาดใหญ่หรือเล็ก แตกหรือไม่แตก ลายตาไม้เป็นอย่างไร และอยู่บริเวณใดของไม้ ล้วนส่งผลต่อความสวยงามของไม้ โดยทั่วไปแล้ว ไม้ที่มีตาไม้ขนาดใหญ่ แตกกระจาย จะให้ความรู้สึกดิบๆ เหมาะกับการตกแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์หรือสไตล์ชนบท ส่วนไม้ที่มีตาไม้ขนาดเล็ก เรียงตัวเป็นระเบียบ จะให้ความรู้สึกเรียบหรู เหมาะกับการตกแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์น
2. กระพี้ไม้
กระพี้ไม้ คือ ส่วนที่เป็นสีเหลืองหรือสีขาวของไม้ที่อยู่ติดกับเปลือกไม้ ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและสารอาหารไปทั่วลำต้น กระพี้ไม้มีวงรอบเล็กหรือใหญ่ ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ โดยทั่วไปแล้ว ไม้ที่มีวงกระพี้เล็ก จะให้ความรู้สึกแน่นและแข็งแรง ส่วนไม้ที่มีวงกระพี้ใหญ่ จะให้ความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น
3. การรมควันไม้
การรมควันไม้ คือ การนำไม้ไปผ่านกระบวนการรมควันด้วยความร้อนและไอน้ำ เพื่อช่วยปรับสีของไม้ให้สม่ำเสมอ โดยหลักการการรมควันคือทำให้สีลายไม้และกระพี้ไม้จางลง โดยทั่วไปแล้ว ไม้ที่ผ่านการรมควันจะมีสีน้ำตาลอมเทาและอมมันเล็กน้อย เหมาะกับการตกแต่งบ้านสไตล์วินเทจหรือสไตล์คลาสสิก
คำแนะนำในการเลือกไม้
หากต้องการเลือกไม้ที่มีตาไม้ขนาดเล็ก เรียงตัวเป็นระเบียบ ควรเลือกไม้เกรด A หรือเกรด B ส่วนหากต้องการเลือกไม้ที่มีตาไม้ขนาดใหญ่ แตกกระจาย ควรเลือกไม้เกรด ABC ลงไป และหากต้องการเลือกไม้ที่สำหรับการรมควัน ควรเลือกไม้เกรด A หรือเกรด B
การวัดความชื้นไม้
ความชื้นของไม้เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อคุณสมบัติของไม้ ไม้ที่มีความชื้นมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะส่งผลให้ไม้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น บิดเบี้ยว แตกร้าว เปลี่ยนรูปทรง และอาจทำให้อายุการใช้งานของไม้สั้นลง
ความชื้นที่เหมาะสมของไม้
ความชื้นที่เหมาะสมของไม้สำหรับการใช้งานทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 10-12% ความชื้นระดับนี้จะทำให้ไม้มีเนื้อแน่น แข็งแรง และทนทานต่อแรงกระแทกได้ดี อย่างไรก็ตาม ความชื้นที่เหมาะสมของไม้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของไม้และการใช้งาน เช่น ไม้ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างควรมีความชื้นประมาณ 12-15% ในขณะที่ไม้ที่ใช้สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ควรมีความชื้นประมาณ 8-10%
การดูแลความชื้นของไม้
ความชื้นของไม้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ หากไม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นมากเกินไป ไม้จะดูดซับความชื้นเข้าไปจนเกินไปจนอาจเกิดการบิดเบี้ยว แตกร้าว หรือเปลี่ยนรูปทรงได้ในทางกลับกัน หากไม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นน้อยเกินไป ไม้จะสูญเสียความชื้นจนเกินไปจนอาจทำให้ไม้เปราะและแตกหักได้ง่าย
ความใส่ใจของ Arrow Wood
Arrow Wood เราเป็นผู้ค้าไม้ชั้นนำในประเทศไทย เราให้ความสำคัญกับคุณภาพของไม้เป็นอย่างมาก โดยมีกระบวนการในการคัดสรรไม้อย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้ไม้ที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับการใช้งาน นอกจากนี้ เรายังมีกระบวนการในการอบไม้เพื่อให้มีความชื้นที่เหมาะสม ก่อนนำไม้ส่งมอบให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับไม้ที่มีคุณภาพและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Arrow Wood ตระหนักดีว่าความชื้นของไม้เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อคุณภาพของไม้ ดังนั้น เราจึงให้ความใส่ใจเรื่องความชื้นของไม้ เพื่อที่จะส่งมอบไม้ที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับการใช้งานให้กับลูกค้า